top of page

วิทย์น่ารู้

  1. หัวอ่าน (Head) เป็นส่วนหนึ่งของแขนหัวอ่าน ซึ่งเจ้าหัวอ่านตัวนี้สร้างจากขดลวด เพื่อใช้อ่านหรือเขียนข้อมูลลงบนแผ่นแม่เหล็ก โดยการรับคำสั่งจากตัวคอนโทรลเลอร์ ก่อนเกิดความเหนี่ยวนำทางแม่เหล็ก และไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสนามแม่เหล็ก และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลนั่นเอง

  2. แขนหัวอ่าน (Actuator Arm) มีลักษณะเป็นแท่งเหล็กยาวๆ ซึ่งสามารถรับคำสั่งจากวงจรให้เลื่อนไปยังตำแหน่งที่ต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นอ่านหรือเขียนข้อมูลลงบนแผ่นแม่เหล็ก โดยต้องทำงานร่วมกับหัวอ่าน

  3. จานแม่เหล็ก (Platters) มีลักษณะเป็นจานกลมๆ เคลือบด้วยสารแม่เหล็กวางซ้อนกันหลายๆ ชั้นขึ้นอยู่กับความจุ เจ้าสารแม่เหล็กที่เองที่เป็นข้อมูลต่างๆ ของเรา โดยข้อมูลนั้นจะถูกบันทึกในลักษณะของเลข 0 และ 1 แผ่นแม่เหล็กนั้นติดกับมอเตอร์สำหรับหมุน (Spindle Motor) และสามารถเก็บข้อมูลได้ทั้ง 2 ด้าน

  4. มอเตอร์หมุนแผ่นแม่เหล็ก (Spindle Motor) เป็นตัวควบคุมจานแม่เหล็กให้หมุนไปยังตำแหน่งที่ต้องการเพื่อบันทึก หรือแก้ไขข้อมูล ปกติมักมีความเร็วในการหมุนประมาณ 7200 รอบต่อนาที แต่ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมทำให้ตัวมอเตอร์มาสามารถเพิ่มความเร็วได้ถึง 1 หมื่นรอบต่อนาที

  5. เคส (Case) หรือตัวกล่องสี่เหลี่ยม ซึ่งเป็นที่บรรจุส่วนต่างๆ ที่ใช้ในการทำงานของฮาร์ดดิสก์

ปัจจุบันฮาร์ดดิสก์สามารถแบ่งออกเป็นสี่ชนิดคือ

  1. IDE เป็นฮาร์ดดิสก์ที่มีการใช้เทคโนโลยีแบบเก่าคือจะมีขั้วต่อกับสายแพที่สามารถส่งผ่านข้อมูลได้แค่ 8.3 เม็กกะไบต์ต่อวินาทีเท่านั้น

  2. SATA เป็นมาตรฐานฮาร์ดดิสก์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันสามารถส่งผ่านข้อมูลได้มากถึง 150 เม็กกะไบต์ต่อวินาที

  3. E-IDE เป็นฮาร์ดดิสก์ที่พัฒนามาจาก IDE มีความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลได้ประมาณ 133 เม็กกะไบต์ต่อวินาที

  4. SCSI เป็นฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลราวๆ 320 เม็กกะไบต์ต่อวินาทีและมีความเร็วรอบในการหมุนจานประมาณ 1 หมื่นรอบต่อนาที นิยมใช้กันทั่วไปสำหรับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ภายในองค์กร

ฮาร์ดดิสก์นั้นเป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อการทำงานของระบบทั้งระบบ ดังนั้นผู้ใช้งานจึงจำเป็นต้องดูแล และถนอมการใช้งานของฮาร์ดดิสก์เอาไว้ให้ดี ทั้งนี้เพราะเมื่อฮาร์ดดิสก์เกิดพังหรือเสียหายขึ้นมา ข้อมูลของเราก็จะพลอยสูญหายไปด้วยเช่นเดียวกันนั่นเอง

อุปกรณ์

เริ่มจากส่วนแรกที่จะต้องมีการจัดเตรียมตั้งแต่ต้น ก็คือ

  1. ขนตาปลอม

  2. กาวติดขนตา

  3. มาสคาร่า (สีใกล้เคียงกับขนตา และเป็นเนื้อแมตช์)

  4. แหนบ

วิธีติดขนตาปลอม

ขั้นที่ 1  เมื่อนำขนตาออกมาจากกล่องแล้ว ให้นำมาทาบที่ตาก่อน เนื่องจากจะต้องดูว่ามีความพอดีมากน้อยเพียงใด ซึ่งถ้าหากยาวเกินไป เมื่อติดนั้นก็จะทำให้กระดกและติดไม่ดีนัก เพราะฉะนั้นแล้วจึงควรที่จะตัดให้พอดี

ขั้นที่ 2 หลังจากทำการตัดจนพอดีแล้ว ให้นำขนตาปลอมมาดัดให้เป็นตัวซี ค้างไว้เพียงแค่ 3 วินาที ก็จะช่วยให้ขนตานั้นเป็นรูปร่างที่คงตัว และจะไม่ทำให้ทั้งส่วนหัวและส่วนปลายนั้นกระดกขึ้นมา

ขั้นที่ 3 และให้นำกาวสำหรับติดขนตาปลอมมาติดบริเวณเส้นขอบ โดยสามารถทำได้สองวิธีก็คือ การติดกาวโดยตรงจากหลอดกาว แต่ถ้าหากว่าไม่มั่นใจในเรื่องของความสั่นของมือ ก็เปลี่ยนเป็นนำกาวหยอดไว้ในที่สะอาดที่เตรียมเอาไว้แล้วให้ใช้แหนบแตะกาว และค่อยๆนำมาทาที่เส้นขอบของขนตาปลอม

ขั้นที่ 4  เมื่อทากาวจนเรียบร้อยก็ให้ทิ้งไว้ 10 วินาที ก่อนที่จะเอาไปติด

ขั้นที่ 5 หลังจากที่เลือกวางจุดเอาไว้แล้ว ก็ให้ติดลงไปได้ทันที ซึ่งถ้าหากติดลงไปแล้วและเมื่อกาวเลอะเปลือกตาก็ไม่ต้องสนใจ เนื่องจากกาวจะแห้งไปเอง

ขั้นที่ 6  เมื่อติดขนตาปลอมเสร็จแล้วทั้งสองข้างเสร็จเรียบร้อย แล้วหลังจากนั้นให้ใช้มาสคาร่าสีใกล้เคียงกับขนตา ปัดทับอีกหนึ่งรอบ เพื่อทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

ซึ่งสำหรับวิธีในการติดขนตาปลอมนั้นก็เรียกได้ว่าง่ายมาก โดยมีเพียงไม่กี่ขั้นตอนและที่สำคัญนั้นยังใช้เวลาไม่นาน โดยสำหรับวิธีนี้จะสามารถช่วยประหยัดระยะเวลาในการแต่งหน้าให้กับคุณสาวๆได้เป็นอย่างดี และนอกจากนี้ยังสามารถที่จะแต่งหน้าได้ออกมาได้แนบเนียนและเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้นอีกเช่นกัน ซึ่งสำหรับสิ่งสำคัญที่เราจำเป็นต้องทราบคือ ถ้าหากเมื่อติดขนตาปลอมลงไปแล้ว กลับพบว่ามีช่องว่างระหว่างขนตาจริงและปลอมนั้น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลอกออกแล้วทำการติดใหม่ เพราะสามารถที่จะแก้ได้ง่ายๆ เพียงแค่นำอายไลน์เนอร์มาทำการเขียนลงบริเวณนั้น ที่สำคัญเวลาเขียนพยายามให้มือนิ่งๆ เส้นอายไลน์เนอร์จะได้ออกมาสวยงาม และทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีติดขนตาปลอมแบบง่ายๆด้วยตัวเอง มีเพียงไม่กี่ขั้นตอน ยิ่งถ้าทำเป็นประจำแล้วหละก็ ไม่กี่นาทีก็สวยได้ดั่งใจหวังกันแล้วค่ะ

bottom of page